fbpx Skip to content

ปวดหัวข้างซ้าย สู่ 5 โรคร้าย ที่หลายคนมองข้าม

5 โรคจากการ ปวดหัวข้างซ้าย

ปวดหัวข้างซ้าย ใครที่มีอาการแบบนี้บ่อย ๆ แล้วคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง กินยาแล้วนอนพักก็น่าจะดีขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า อาการปวดหัวแต่ละแบบมีความหมายที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะปวดที่กระบอกตา ท้ายทอย หลังหู แต่ละตำแหน่งก็เป็นสาเหตุหรือเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่การเกิดโรคอื่น ๆ ได้ พูดแบบนี้หลายคนอาจจะเริ่มกลัวและกังวลแล้วว่าอาการที่เป็นอยู่จะเข้าข่ายโรคร้ายแรงหรือไม่ อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปค่ะ วันนี้เรารวบรวม 5 โรคร้ายที่มักมีสาเหตุจากอาการปวดหัวข้างซ้ายมาให้เพื่อน ๆ ได้ลองสังเกตอาการเบื้องต้นกัน

ปัจจัยที่กระตุ้นอาการ ปวดหัวข้างซ้าย

ปัจจัยกระตุ้น ปวดหัวข้างซ้าย

ก่อนจะไปทำความรู้จักกับโรคที่เกิดจากการปวดหัว เรามาดูปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่มากระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวข้างซ้ายกันก่อนดีกว่าค่ะ

  • นอนไม่หลับ หรือการอดนอน
  • การรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว
  • อากาศร้อน
  • สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม มลภาวะทางอากาศ
  • การอดอาหาร
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • การใส่อุปกรณ์บางอย่างที่รัดศีรษะเป็นเวลานาน เช่นเครื่องประดับหรือหมวกกันน็อก

ปวดหัวข้างซ้าย เสี่ยงป่วย 5 โรคร้าย

แน่นอนว่าอาการปวดหัวของแต่ละคนจะมีระดับที่แตกต่างกันไป บางคนปวดน้อย ทานยาแล้วนอนพักก็หาย แต่สำหรับบางคนอาจมีอาการปวดหัวในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ปวดหัวข้างซ้าย แบบรุนแรงและมากขึ้นเรื่อย ๆ และทานยาก็ไม่หาย เรามาลองสังเกตอาการปวดหัวที่เพื่อน ๆ กำลังเป็นอยู่กันดีกว่า ว่าจะเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ เพื่อจะได้หาทางป้องกันหรือแก้ไขก่อนจะสายเกินแก้

ไมเกรน

    • ไมเกรน

หากคุณมีอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือปวดหัวข้างเดียว จนลามมาปวดที่กระบอกตาและปวดมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่ที่เสียงดัง แสงจ้า ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว นั่นคือสัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคไมเกรน ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และมีภาวะความเครียดร่วมด้วย วิธีในการรักษาคือการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ รวมถึงการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนช่วยในการคลายความเครียดและช่วยเรื่องการนอนหลับซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดหัวนั่นเอง

ติดเชื้อไวรัส

    • ติดเชื้อไวรัส

อาการปวดหัวที่หลายคนคุ้นเคยและมักเจอทุกครั้งที่มีอาการไม่สบาย ก็คือการปวดหัวจากโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด หรือโควิด-19 โดยมักจะมีอาการปวดหัวข้างเดียวหรือปวดทั่วทั้ง 2 ข้างร่วมด้วย

ปวดหัวข้างซ้าย

    • ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache)

ชื่อของอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ถ้าบอกอาการที่เกิดขึ้นหลายคนก็น่าจะร้องอ๋อกันทันที อาการที่ว่าก็คือการปวดหัวข้างใดข้างหนึ่ง แต่จะค่อนข้างรุนแรงกว่าปวดไมเกรน ปวดลามไปถึงกระบอกตา ปวดที่ขมับ หน้าผาก และมีอาการน้ำมูกไหล ตาแดง หน้าบวม ร่วมด้วย และอาการปวดนี้จะเกิดในช่วงเวลาซ้ำ ๆ เดิม ๆ ของวัน

ต้อหิน

    • ต้อหิน

โรคต้อหิน อีก 1 โรคที่เกี่ยวกับดวงตาที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหัวข้างใดข้างหนึ่งได้ ซึ่งเกิดจากความดันลูกตาที่สูง ทำให้น้ำภายในลูกตาเสียสมดุล จึงเกิดอาการปวดหัวข้างที่ตาเป็นต้อและตาแดงอย่างเฉียบพลัน หรือค่อย ๆ เกิด แต่ถ้าไม่รีบรักษาบอกเลยว่าอันตรายมาก ๆ ค่ะ อาจเสี่ยงทำให้ตาบอดได้เลย

ปวดหัวข้างซ้าย

    • เนื้องอกในสมอง

หากคุณมีอาการปวดหัวที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน ปวดหัวมากในช่วงที่เอนตัวลงนอน หรือตอนไอจาม ร่วมกับการคลื่นไส้ อาเจียน เห็นภาพซ้อน การมองเห็นผิดปกติไป หรืออาจมีอาการชักเกิดขึ้นด้วย นี้อาจเป็นอาการเริ่มต้นของเนื้องอกในสมอง ทางที่ดีควรรีบพบแพทย์และทำการรักษาให้เร็วที่สุดค่ะ

วิธีป้องกันอาการปวดหัวข้างซ้าย

การป้องกันอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือปวดหัวข้างเดียวเบื้องต้นที่อยากแนะนำ

  • ไม่เครียดหรือกังวลใจมากเกินไป
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกาย

คลายความเครียดและความกังวล ต้นเหตุของอาการปวดหัว

ต้นเหตุของอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือการปวดหัวที่นำไปสู่โรคต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การอดหลับอดนอน หรือความเครียดสะสมจากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีคลายเครียดให้ได้เลือกทำกันตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน อย่างเช่นการออกกำลังกาย โยคะ การฟังเพลง ดูหนังหรือออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่วันนี้เรามีอีก 1 วิธีที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบันมาแนะนำกันค่ะ นั่นก็คือการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากสมุนไพร 100% ไม่มีสารเคมีเจือปน ซึ่งมีให้เลือกทานกันหลายผลิตภัณฑ์ แต่ตัวที่อยากแนะนำและได้รับเสียงตอบรับจากผู้ที่ได้ทานว่าเห็นผลจริงคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบีโคพลัส (Becoplus)

ปวดหัวข้างซ้าย

บีโคพลัสเป็นตัวช่วยคลายกังวลหรือความเครียดสะสมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ 100% กว่า 11 ชนิด มาในรูปแบบแคปซูลจากพืช ช่วยปรับสมดุลการนอน ทำให้นอนหลับสนิทยิ่งขึ้น บำรุงสมองขณะนอนหลับ และยังช่วยป้องกันการเกิดไมเกรนหรืออาการปวดหัวต่าง ๆ ได้อีกด้วย

สรรพคุณของสารสกัด 11 ชนิดที่มีอยู่ในบีโคพลัส

1.พรมมิ (Bacopa monnieri)

  • บำรุงสมอง ฟื้นฟูความจำ
  • เพิ่มสมาธิ
  • ป้องกันอัลไซเมอร์
  • ลดอาการซึมเศร้า คลายกังวล ส่งผลให้นอนหลับง่ายขึ้น
  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

2.L-Theanine

  • ทำให้ระบบประสาทและสมองผ่อนคลาย
  • ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นและหลับลึกขึ้น
  • ลดสภาวะความเครียด
  • ส่งเสริมการเรียนรู้และความทรงจำ
  • ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น

3.Tart Cherry Powder

  • ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
  • ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
  • ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
  • ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสขึ้น
  • บำรุงสมอง

4.Ginkgo Leaf

  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ 
  • ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
  • ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน
  • อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพผิว

5.Lemon Balm

  • ช่วยให้ผ่อนคลาย
  • ช่วยในการนอนหลับ
  • เสริมสร้างระบบความจำ
  • ปรับสมดุลความดันโลหิต
  • ขจัดความเหนื่อยล้า

6.Goji Berry

  • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยบำรุงสายตา
  • ช่วยให้มีความจำดี
  • ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน

7.Vitamin D

  • ช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า
  • เพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ
  • ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน
  • ช่วยชะลอวัยของผิว
  • ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก

8.Vitamin B2

  • ช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน
  • ทำให้ผิวหนัง เล็บ เส้นผมมีสุขภาพดี
  • ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของดวงตา 
  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์

9.Vitamin B3

  • ช่วยเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลัง และสร้างไขมันในร่างกาย
  • ช่วยการไหลเวียนของเลือด
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
  • ลดความดันโลหิต
  • ลดระดับคลอเรสเตอรอล

10.Vitamin B5

  • ช่วยเรื่องการนอนหลับ
  • ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย
  • ช่วยผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • บรรเทาอาการข้ออักเสบ
  • ลดระดับคอเลสเตอรอล

11.Vitamin B6

  • ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
  • ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  • ป้องกันโรคทางระบบประสาทและโรคผิวหนัง
  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารผ่อนคลาย

บทความที่เกี่ยวข้อง