ปวดหัวข้างซ้าย ใครที่มีอาการแบบนี้บ่อย ๆ แล้วคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง กินยาแล้วนอนพักก็น่าจะดีขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า อาการปวดหัวแต่ละแบบมีความหมายที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะปวดที่กระบอกตา ท้ายทอย หลังหู แต่ละตำแหน่งก็เป็นสาเหตุหรือเป็นสัญญาณเตือนนำไปสู่การเกิดโรคอื่น ๆ ได้ พูดแบบนี้หลายคนอาจจะเริ่มกลัวและกังวลแล้วว่าอาการที่เป็นอยู่จะเข้าข่ายโรคร้ายแรงหรือไม่ อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปค่ะ วันนี้เรารวบรวม 5 โรคร้ายที่มักมีสาเหตุจากอาการปวดหัวข้างซ้ายมาให้เพื่อน ๆ ได้ลองสังเกตอาการเบื้องต้นกัน
ปัจจัยที่กระตุ้นอาการ ปวดหัวข้างซ้าย
ก่อนจะไปทำความรู้จักกับโรคที่เกิดจากการปวดหัว เรามาดูปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่มากระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวข้างซ้ายกันก่อนดีกว่าค่ะ
- นอนไม่หลับ หรือการอดนอน
- การรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว
- อากาศร้อน
- สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม มลภาวะทางอากาศ
- การอดอาหาร
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- การใส่อุปกรณ์บางอย่างที่รัดศีรษะเป็นเวลานาน เช่นเครื่องประดับหรือหมวกกันน็อก
ปวดหัวข้างซ้าย เสี่ยงป่วย 5 โรคร้าย
แน่นอนว่าอาการปวดหัวของแต่ละคนจะมีระดับที่แตกต่างกันไป บางคนปวดน้อย ทานยาแล้วนอนพักก็หาย แต่สำหรับบางคนอาจมีอาการปวดหัวในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ปวดหัวข้างซ้าย แบบรุนแรงและมากขึ้นเรื่อย ๆ และทานยาก็ไม่หาย เรามาลองสังเกตอาการปวดหัวที่เพื่อน ๆ กำลังเป็นอยู่กันดีกว่า ว่าจะเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ เพื่อจะได้หาทางป้องกันหรือแก้ไขก่อนจะสายเกินแก้
-
- ไมเกรน
หากคุณมีอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือปวดหัวข้างเดียว จนลามมาปวดที่กระบอกตาและปวดมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่ที่เสียงดัง แสงจ้า ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว นั่นคือสัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคไมเกรน ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และมีภาวะความเครียดร่วมด้วย วิธีในการรักษาคือการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ รวมถึงการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนช่วยในการคลายความเครียดและช่วยเรื่องการนอนหลับซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการปวดหัวนั่นเอง
-
- ติดเชื้อไวรัส
อาการปวดหัวที่หลายคนคุ้นเคยและมักเจอทุกครั้งที่มีอาการไม่สบาย ก็คือการปวดหัวจากโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด หรือโควิด-19 โดยมักจะมีอาการปวดหัวข้างเดียวหรือปวดทั่วทั้ง 2 ข้างร่วมด้วย
-
- ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache)
ชื่อของอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ถ้าบอกอาการที่เกิดขึ้นหลายคนก็น่าจะร้องอ๋อกันทันที อาการที่ว่าก็คือการปวดหัวข้างใดข้างหนึ่ง แต่จะค่อนข้างรุนแรงกว่าปวดไมเกรน ปวดลามไปถึงกระบอกตา ปวดที่ขมับ หน้าผาก และมีอาการน้ำมูกไหล ตาแดง หน้าบวม ร่วมด้วย และอาการปวดนี้จะเกิดในช่วงเวลาซ้ำ ๆ เดิม ๆ ของวัน
-
- ต้อหิน
โรคต้อหิน อีก 1 โรคที่เกี่ยวกับดวงตาที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหัวข้างใดข้างหนึ่งได้ ซึ่งเกิดจากความดันลูกตาที่สูง ทำให้น้ำภายในลูกตาเสียสมดุล จึงเกิดอาการปวดหัวข้างที่ตาเป็นต้อและตาแดงอย่างเฉียบพลัน หรือค่อย ๆ เกิด แต่ถ้าไม่รีบรักษาบอกเลยว่าอันตรายมาก ๆ ค่ะ อาจเสี่ยงทำให้ตาบอดได้เลย
-
- เนื้องอกในสมอง
หากคุณมีอาการปวดหัวที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน ปวดหัวมากในช่วงที่เอนตัวลงนอน หรือตอนไอจาม ร่วมกับการคลื่นไส้ อาเจียน เห็นภาพซ้อน การมองเห็นผิดปกติไป หรืออาจมีอาการชักเกิดขึ้นด้วย นี้อาจเป็นอาการเริ่มต้นของเนื้องอกในสมอง ทางที่ดีควรรีบพบแพทย์และทำการรักษาให้เร็วที่สุดค่ะ
วิธีป้องกันอาการปวดหัวข้างซ้าย
การป้องกันอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือปวดหัวข้างเดียวเบื้องต้นที่อยากแนะนำ
- ไม่เครียดหรือกังวลใจมากเกินไป
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกาย
คลายความเครียดและความกังวล ต้นเหตุของอาการปวดหัว
ต้นเหตุของอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือการปวดหัวที่นำไปสู่โรคต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การอดหลับอดนอน หรือความเครียดสะสมจากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลากหลายวิธีคลายเครียดให้ได้เลือกทำกันตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน อย่างเช่นการออกกำลังกาย โยคะ การฟังเพลง ดูหนังหรือออกไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่วันนี้เรามีอีก 1 วิธีที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในปัจจุบันมาแนะนำกันค่ะ นั่นก็คือการทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากสมุนไพร 100% ไม่มีสารเคมีเจือปน ซึ่งมีให้เลือกทานกันหลายผลิตภัณฑ์ แต่ตัวที่อยากแนะนำและได้รับเสียงตอบรับจากผู้ที่ได้ทานว่าเห็นผลจริงคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบีโคพลัส (Becoplus)
บีโคพลัสเป็นตัวช่วยคลายกังวลหรือความเครียดสะสมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ 100% กว่า 11 ชนิด มาในรูปแบบแคปซูลจากพืช ช่วยปรับสมดุลการนอน ทำให้นอนหลับสนิทยิ่งขึ้น บำรุงสมองขณะนอนหลับ และยังช่วยป้องกันการเกิดไมเกรนหรืออาการปวดหัวต่าง ๆ ได้อีกด้วย
สรรพคุณของสารสกัด 11 ชนิดที่มีอยู่ในบีโคพลัส
1.พรมมิ (Bacopa monnieri)
- บำรุงสมอง ฟื้นฟูความจำ
- เพิ่มสมาธิ
- ป้องกันอัลไซเมอร์
- ลดอาการซึมเศร้า คลายกังวล ส่งผลให้นอนหลับง่ายขึ้น
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
2.L-Theanine
- ทำให้ระบบประสาทและสมองผ่อนคลาย
- ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นและหลับลึกขึ้น
- ลดสภาวะความเครียด
- ส่งเสริมการเรียนรู้และความทรงจำ
- ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น
3.Tart Cherry Powder
- ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
- ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสขึ้น
- บำรุงสมอง
4.Ginkgo Leaf
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
- ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
- ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน
- อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพผิว
5.Lemon Balm
- ช่วยให้ผ่อนคลาย
- ช่วยในการนอนหลับ
- เสริมสร้างระบบความจำ
- ปรับสมดุลความดันโลหิต
- ขจัดความเหนื่อยล้า
6.Goji Berry
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ช่วยบำรุงสายตา
- ช่วยให้มีความจำดี
- ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน
7.Vitamin D
- ช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า
- เพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ
- ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน
- ช่วยชะลอวัยของผิว
- ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก
8.Vitamin B2
- ช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน
- ทำให้ผิวหนัง เล็บ เส้นผมมีสุขภาพดี
- ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของดวงตา
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
9.Vitamin B3
- ช่วยเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลัง และสร้างไขมันในร่างกาย
- ช่วยการไหลเวียนของเลือด
- ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
- ลดความดันโลหิต
- ลดระดับคลอเรสเตอรอล
10.Vitamin B5
- ช่วยเรื่องการนอนหลับ
- ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย
- ช่วยผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
- บรรเทาอาการข้ออักเสบ
- ลดระดับคอเลสเตอรอล
11.Vitamin B6
- ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
- ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- ป้องกันโรคทางระบบประสาทและโรคผิวหนัง
- ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารผ่อนคลาย